ถือว่าเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของมิเกล อาร์เตต้าเลยก็ว่าได้ กับการที่เขาพาทีมอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพมาได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ ทั้งๆ ที่เป็นฤดูกาลที่น่าจะย่ำแย่ที่สุดของอาร์เซน่อลในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ เพราะว่าผลงานในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้พวกเขาต้องจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 8 ของตาราง ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปีของสโมสรเลยทีเดียว
แต่มิเกล อาร์เตต้า กุนซือหนุ่มมือใหม่ชาวสเปนที่เข้ามาคุมทีมในช่วงกลางฤดูกาล กลับสามารถพาทีม “ปืนใหญ่” ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ฟุตบอลเอฟเอ คัพได้สำเร็จ อีกทั้งยังคว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอลยูโรป้า ลีกฤดูกาลหน้าตามที่ต้องการได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการคุมทีมครึ่งปีแรกของกุนซือหนุ่มวัย 38 ปีที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง กับการพาทีมอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ที่ถูกโฉลกกับสโมสรอย่างเอฟเอ คัพได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาเป็นแชมป์รายการนี้มากที่สุดอยู่แล้วด้วย ซึ่งหากรวมกับแชมป์หนล่าสุดที่พวกเขาเอาชนะเชลซีได้ 2-1 แล้ว ทำให้อาร์เซน่อลคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 14 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่มิเกล อาร์เตต้าจะเข้ามารับงานคุมทีมอาร์เซน่อลในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว อาร์เซน่อลประสบปัญหาอย่างหนัก โดยเฉพาะในแนวรับ เมื่อไม่มีปราการหลังตัวหลักที่จะช่วยประครองทีมได้ในฤดูกาลนี้ และยังมีปัญหานักเตะแนวรับบาดเจ็บอยู่หลายคนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเอ็คตอร์ เบเญริน แบ็คขวาชาวสเปน และคีแรน เธียร์นี่ย์ แบ็คซ้ายทีมชาติสก็อตแลนด์ และแม้ว่าอาร์เตต้าจะเข้ามาคุมทีมแล้ว แต่ในตอนแรกอาร์เซน่อลก็ยังคงมีปัญหาในแนวรับอยู่ดี ก่อนที่จะมาดีขึ้นในช่วงท้ายฤดูกาลเมื่อบรรดานักเตะตัวหลักหายเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ และอีกทั้งเขายังปรับเปลี่ยนระบบการเล่นมาใช้กองหลัง 3 คนแทน ซึ่งทำให้อาร์เซน่อลมีแนวรับที่แข็งแกร่งขึ้นทันที จนทำให้พวกเขาพลิกล็อคเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพได้สำเร็จ และสุดท้ายก็มาพลิกเอาชนะเชลซีในนัดชิงชนะเลิศจนคว้าแชมป์แรกในการคุมทีมของเขาได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นยอดกุนซือของมิเกล อาร์เตต้าเลยก็ว่าได้ ซึ่งภายในไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้พิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง จนกลายเป็นว่าที่ยอดกุนซือแห่งอนาคตของอาร์เซน่อลเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหารของสโมสรหรือไม่ในช่วงหลังจากนี้