ปรากฏการณ์ของเลสเตอร์

ขอบสนามวิเคราะห์เกมส์

ทีม “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วในฤดูกาล 2015-2016 ที่มีเคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือชาวอิตาเลี่ยนคุมทีมในฤดูกาลนั้น และเป็นช่วงเวลาที่บรรดาทีมใหญ่ของลีกต่างพากันฟอร์มตกไปหมดพอดี ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างไม่มีใครคาดคิด

แต่หลังจากนั้นมาพวกเขาก็เป็นได้เพียงแค่ทีมระดับกลางตารางของพรีเมียร์ลีกเท่านั้น เมื่อไม่สามารถรั้งตัวหลักของทีมให้อยู่กับทีมต่อไปได้ เมื่อถูกทีมยักษ์ใหญ่ของลีกมาทุ่มเงินซื้อนักเตะตัวหลักของพวกเขาไปร่วมทีมในทุกปี ไม่ว่าจะเป็นเอ็นโกโล่ ก็องเต้ ริยาด มาห์เรซ

หรือเมื่อช่วงต้นฤดูกาลก็คือแฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังตัวเก่งของทีมี่ขายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในราคา 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวกองหลังที่แพงที่สุดในโลกด้วย ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นทีมหัวตารางได้อย่างถาวรเสียที เมื่อทีมถูกดูดนักเตะตัวหลักออกไปในทุกปี ซึ่งทำให้พวกเขาต้องไปหาตัวแทนเข้ามาแทนที่ ซึ่งยังดีตรงที่เลสเตอร์ ซิตี้เป็นทีมที่เสริมทัพได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา เพราะพวกเขาสามารถหานักเตะคุณภาพดี ราคาถูกมาร่วมทีมได้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นวิลฟรีด เอ็นดิดี้ เจมส์ แมดดิสัน หรือคากล้า โซยุนคู

แต่ในฤดูกาลนี้เลสเตอร์ ซิตี้ที่นำทัพโดยเบรนแดน ร็อดเจอร์ส สามารถพาทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง และกำลังรั้งอันดับที่ 3 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกได้อยู่ในตอนนี้หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 29 นัด และด้วยความห่างของคะแนนกับทีมอื่นๆ ทำให้พวกเขามีโอกาสเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้า ซึ่งจะทำให้สโมสรได้เงินก้อนโตทีเดียวจากการไปเล่นฟุตบอลรายการใหญ่ของยุโรป หากว่าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของทีมหลังจากนี้หากว่าต้องการที่จะก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับทีมใหญ่ในลีกก็คือการที่ทีมต้องไม่เสียตัวหลักออกไปจากทีมอีก โดยเฉพาะทีมคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกด้วยกันเอง ซึ่งหลังจบฤดูกาลนี้นักเตะอย่างเจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมคเกอร์ตัวเก่งของทีมจะเป็นเป้าหมายของทีมใหญ่อย่างแน่นอน


และรวมไปถึงวิลฟรีด เอ็นดิดี้ กองกลางตัวตัดเกมทีมชาติไนจีเรียด้วย ที่เป็นทีมหมายตาของทีมใหญ่ในลีกมานานแล้ว ซึ่งเลสเตอร์เป็นทีมที่หาตัวแทนได้เก่งก็จริง แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าพวกเขาจะหานักเตะมาทดแทนได้ดีทุกครั้งไป