ศึกบิ๊กแมตช์ของพรีเมียร์ลีกที่โคจรมาเตะกันในค่ำคืนวันพฤหัสบดีต่อเช้าวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งทั้ง 2 ทีมกำลังอยู่ในช่วงที่มีฟอร์มการเล่นแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ เมื่อพวกเขาแพ้คาบ้านในพรีเมียร์ลีกมาถึง 4 นัดติดต่อกันแล้ว และแพ้ในเกมลีกมา 4 จาก 5 นัดหลังสุด ซึ่งทำให้พวกเขาหลุดจาก 4 อันดับแรกของตารางพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นอันดับที่จะได้ไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลหน้าด้วย ส่วนทางด้านของเชลซีถือว่ากำลังอยู่ในช่วงที่มีฟอร์มการเล่นดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ได้กุนซือใหม่อย่างโธมัส ทูเคิ่ลเข้ามาคุมทีม ซึ่งทำให้เกมนี้จะเป็นการดวลกันของ 2 กุนซือชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นอดีตกุนซือของโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ด้วยกันทั้งคู่อีกด้วย ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว
สิ่งที่พอจะยืดเหนี่ยวจิตใจของสาวก “เดอะ ค็อป” ได้ในเกมนี้ก็คือสถิติการพบกัน 6 นัดหลังสุดของทั้ง 2 ทีม ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นต่อเชลซีอยู่หลายขุมทีเดียว เมื่อพวกเขาเอาชนะทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ได้ถึง 5 จาก 6 นัดหลังสุดที่พบกัน ส่วนเชลซีเอาชนะไปได้เพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น คือเมื่อมีนาคมปีที่แล้วที่เอาชนะได้ 2-0 ในศึกเอฟเอ คัพ ส่วนการพบกันในฤดูกาลนี้ในช่วงต้นฤดูกาลเป็นทางลิเวอร์พูลที่บุกเอาชนะได้ถึงถิ่นสแตนฟอร์ด บริดจ์ 2-0 แต่เกมนี้น่าจะต่างออกไปจากเดิม เพราะด้วยผลงานล่าสุด และกำลังใจของทั้ง 2 ทีมนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยนักเตะของลิเวอร์พูลนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาดความมั่นใจ และฟอร์มตกกันถ้วนหน้า มีเพียงโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ดาวซัลโวของทีมเท่านั้นที่ยังทำประตูช่วยทีมได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนนอกนั้นล้วนแต่ฟอร์มตกทั้งสิ้น ส่วนทางเชลซีนั้นกุนซือโธมัส ทูเคิ่ลกำลังเรียกความมั่นใจให้กับนักเตะได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นติโม แวร์เนอร์ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งกองหน้าตัวสำรองอย่างโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ที่ก็กลับมายิงประตูสำคัญในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อีกด้วยในเกมที่บุกไปเอาชนะแอตเลติโก มาดริดได้ 1-0 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขานั้นกำลังเต็มเปลี่ยม และรวมถึงทีมสปิริตที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้งด้วยหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือ ซึ่งเกมนี้ถือว่าเป็นการแย่งชิงอันดับที่ 4 เป็นเดิมพันอีกด้วย
